hos9

วันพุธที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ทองผาภูมิ (Thong Pha Phum)





ทองผาภูมิ (Thong Pha Phum)

ที่ตั้งและแผนที่
อุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ 
ตู้ ปณ.18 อ. ทองผาภูมิ จ. กาญจนบุรี 71180 
โทรศัพท์ : 0 1382 0359 


หัวหน้าอุทยานแห่งชาติ : นายทัศนัย เปิ้นสมุทร 


ด้วยสำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ได้ส่งเรื่องแผนการป้องกันอนุรักษ์และพัฒนาป่าอนุรักษ์ภาคตะวันตก ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมป่าไม้ เสนอต่อคณะกรรมการกลั่นกรองฯ ฝ่ายเศรษฐกิจ ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและการพัฒนา พิจารณาเสนอความเห็นเพื่อประกอบการพิจารณา ต่อมาเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2534 คณะกรรมการการกลั่นกรองฯ ฝ่ายเศรษฐกิจ เสนอความเห็นชอบ การคุ้มครองพื้นที่เขตแดนพม่าให้เป็นป่าผืนใหญ่ผืนเดียวกัน เพื่ออนุรักษ์ให้เป็นระบบนิเวศที่มั่นคงและเป็นแหล่งทรัพยากรพันธุกรรมพืชและสัตว์ที่อุดมสมบูรณ์ของประเทศตลอดไป ต่อมาคณะรัฐมนตรีได้ประชุมปรึกษาเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2534 ลงมติเห็นชอบตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองฯ ฝ่ายเศรษฐกิจ โดยกรมป่าไม้ได้ดำเนินการตามแผนการป้องกันอนุรักษ์และพัฒนาป่าไม้อนุรักษ์ภาคตะวันตก ในรูปแบบอุทยานแห่งชาติ 


อุทยานแห่งชาติทองผาภูมิอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าห้วยเขย่งและป่าเขาช้างเผือก ในเขตท้องที่อำเภอทองผาภูมิ และอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี เป็นพื้นที่ป่าที่อยู่ในระหว่างการดำเนินการประกาศจัดตั้งเป็นอุทยานแห่งชาติ มีเนื้อที่ประมาณ 700,000 ไร่ หรือ 1,120 ตารางกิโลเมตร มีอาณาเขตติดต่อดังนี้ ทิศเหนือจดเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ทิศใต้จดอุทยานแห่งชาติไทรโยค ทิศตะวันออกจดอุทยานแห่งชาติเขาแหลม ทิศตะวันตกจดเขตแดนไทย-พม่า ส่วนอุทยานแห่งชาติ กรมป่าไม้ ได้นำเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการอุทยานแห่งชาติ เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2543 ซึ่งที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้ดำเนินการจัดตั้งเป็นอุทยานแห่งชาติได้ 






ลักษณะภูมิประเทศ 
พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นเทือกเขาสลับซับซ้อน แนวเขาวางตัวในแนวทิศเหนือ-ใต้ เป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาตะนาวศรี มีพื้นที่ราบลุ่มเป็นจำนวนน้อย ความสูงของพื้นที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 100-1,249 เมตร มีเขาช้างเผือกซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกของพื้นที่เป็นยอดเขาสูงสุด สูง 1,249 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง ยอดเขาที่สำคัญ ได้แก่ เขาช้างเผือก เขานิซา เขาพุถ่อง เขาด่าง เขาปาก ประตู เขาเลาะโล เขาประหนองโทคี เขาชะโลง ฯลฯ ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของลำห้วยต่างๆ เช่น ห้วยมาลัย ห้วยกบ ห้วยซ่าน ห้วยองค์พระ ห้วยปีคี ห้วยปากคอก ห้วยเจ็ดมิตร ฯลฯ โดยไหลลงสู่ที่ราบทิศตะวันออก ลงสู่เขื่อนเขาแหลม และลำน้ำอีกส่วนไหลลงสู่แม่น้ำแควน้อย 


ลักษณะภูมิอากาศ
เป็นแบบมรสุมเมืองร้อน จึงได้รับอิทธิพลจากลมมรสุมตะวันออกเฉียงใต้ในช่วงฤดูฝน และลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือในช่วงฤดูหนาว ฤดูร้อนเริ่มตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ถึงเมษายน ฤดูฝนเริ่มตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงกรกฎาคม ฤดูหนาวเริ่มตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนถึงมกราคม 


พืชพันธุ์และสัตว์ป่า
อุทยานแห่งชาติทองผาภูมิเป็นพื้นที่ส่วนหนึ่งของผืนป่าตะวันตกที่คงความสมบูรณ์ตามธรรมชาติ สามารถจำแนกประเภทแบ่งออกได้เป็น 4 ประเภท ได้แก่ 
1) ป่าดิบชื้น มีพันธุ์ไม้ที่สำคัญ ได้แก่ ตะเคียน ยางขาว ยางยูง ไก่เขียว เคี่ยม กันเกรา จำปาป่า มะหาด เนียง พืชพื้นล่างมีพวก หวาย เฟิน เตย และปาล์ม 


2) ป่าดิบแล้ง มีพันธุ์ไม้ที่สำคัญ ได้แก่ ยางขาว ยางแดง ตะเคียน ยมหอม จำปีป่า กระบาก มะม่วงป่า มะแฟน แดงดง มะไฟป่า สมพง พืชพื้นล่างมีพวก ปาล์ม ข่า และเฟินต่างๆ ฯลฯ 


3) ป่าดิบเขา มีพันธุ์ไม้ที่สำคัญ ได้แก่ ก่อชนิดต่างๆ กำลังเสือโคร่ง มณฑาป่า พระเจ้าห้าพระองค์ กำยาน อบเชย ทะโล้ พืชพื้นล่างได้แก่ มอส เฟินต่างๆ 


4) ป่าเบญจพรรณ พบมากที่สุด มีพันธุ์ไม้ที่สำคัญได้แก่ ประดู่ แดง ตะแบก เสลา ส้าน มะค่าโมง อินทนิล ตุ้มเต๋น ตะคร้อ ตะคร่ำ กระพี้เขาควาย ขะเจ๊าะ มะเกลือ กาสามปีก สมอพิเภก กระบก มะกอก พืชพื้นล่างมีพวก ไผ่ไร่ ไผ่ซาง ไผ่บง ไผ่ข้าวหลาม ไผ่รวก และพืชพวกไม้หนาม เป็นต้น 


อุทยานแห่งชาติทองผาภูมิเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าเป็นจำนวนมาก เนื่องจากป่าเป็นผืนเดียวกันกับประเทศพม่า จึงมีการย้ายถิ่นฐานไปมาอยู่เป็นประจำ และเนื่องจากไม่มีราษฎรอยู่ในพื้นที่ป่ามากนักจึงทำให้สัตว์ป่าไม่ถูกรบกวน ที่พบเห็นเป็นประจำได้แก่ ช้างป่า เลียงผา กวาง เก้ง กระจง หมูป่า หมี ลิง ค่าง บ่าง ชะนี อีเห็น ชะมด เสือปลา เสือลายเมฆ เสือโคร่ง หมีคน หมีควาย กระรอกบิน กระแต หนูหริ่ง พังพอน ค้างคาว กระต่ายป่า แมวป่า หมาไน เม่น นกเงือก นกนางแอ่น เหยี่ยว นกกระสา นกอินทรีย์ นกฮูก นกปรอด นกแขวก นกเค้าแมว นกแสก นกกระปูด นกเอี้ยง นกกางเขน นกขมิ้น นกกระทาดง นกกวัก นกขุนทอง นกแซงแซว นกหัวขวาน นกดุเหว่า อีกา ไก่ป่า ตะกวด ตุ๊กแกป่า กิ้งก่าบิน จิ้งเหลน แย้ ตะขาบ แมงป่อง กิ้งกือ ทาก ปลิง ตะพาบน้ำ กบ เขียด คางคก อึ่งอ่าง ปลาเวียน ปลาซิว ปลาก้าง ปลาช่อน ปลาไหล ปลากระทิง ปลาตะเพียน ปลาหมอ ปลาแขยง และปลาชะโด เป็นต้น 


การเดินทาง
1. โดยรถยนต์ส่วนตัวออกเดินทางจากกรุงเทพฯ ถึงตัวเมืองกาญจนบุรี ระยะทางประมาณ 123 กิโลเมตร จากตัวเมืองกาญจนบุรี ใช้ทางหลวงหมายเลข 323 สายกาญจนบุรี – ทองผาภูมิ ถึงตลาดอำเภอทองผาภูมิระยะทางประมาณ 141 กิโลเมตร จากตัวอำเภอทองผาภูมิ ใช้เส้นทางหมายเลข 3272 สายทองผาภูมิ – บ้านไร่-ปิล๊อก ถึงสามแยกบ้านไร่เลี้ยวซ้ายไปตาม เส้นทางคดเคี้ยวบนเขา ที่ทำการอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิซึ่งจะตั้งอยู่ระหว่างหลักกิโลเมตรที่ 21 - 22 เป็นเส้นทางลาดยางตลอดสาย 
2. โดยรถยนต์โดยสารประจำทาง 
ขึ้นรถจากสถานีขนส่งสายใต้ลงที่สถานีขนส่งจังหวัดกาญจนบุรีและต่อรถประจำทางสายกาญจนบุรี – ทองผาภูมิ ลงที่ตลาดอำเภอทองผาภูมิ จากนั้นต่อรถประจำทางสายทองผาภูมิ – บ้านอีต่อง 
ก็จะถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ 









ที่มา  




http://park.dnp.go.th/visitor/nationparkshow.php?PTA_CODE=9126

เขากระโจม

เขากระโจม
เขากระโจม ห่างจาก อ.สวนผึ้งประมาณ 40 กม. และห่างจาก จ.ราชบุรี ประมาณ 100 กม. เป็นแหล่งท่องเที่ยว แห่งหนึ่งที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งเป็นยอดเขาสูงสุดในเทือกเขาตะนาวศรี คือจุดชมวิวเขากระโจม ซึ่ง สามารถ มองเห็นทั้งประเทศไทยและประเทศพม่า มีไม้ป่านานาชาติ อากาศเย็นสบาย อุณหภูมิหนาวเย็นทั้งปี เหมาะ สำหรับนักท่องเที่ยวผู้ชื่นชอบธรรมชาติป่าเขาและรักการผจญภัย เป็นขุดชมทะเลหมอกและ พระอาทิตย์ขึ้นและ พระอาทิตย์ตกที่สวยงามของสวนผึ้ง  หากวันไหนฟ้าฝนเป็นใจในยามเช้าก็จะได้เห็นะทะเลหมอกงดงามาก


เขากระโจม


เขากระโจม ตั้งอยู่ในแนวสุดเขตประเทศไทย ภาคตะวันตก ที่มีบางคนเรียกว่า เขาช่องกระโจม นั้น คนพื้นที่เล่า ให้ฟังว่า ชาวกะเหรี่ยงที่อยู่อาศัยในผืนแผ่นดินบริเวณนี้มาก่อนเรียกชื่อว่า เขาลันดา ซึ่งหมายถึง ภูเขาที่มีที่ราบ คนไทยรุ่นที่ไปทำเหมืองแร่ดีบุกที่นั่นย้อนหลังไปเมื่อประมาณ 50 ปีก่อน เห็นรูปลักษณะของเขาว่าคล้าย กระโจมอินเดียนแดง ก็เลยเปลี่ยนชื่อให้เป็น เขากระโจม


เขากระโจม





บนยอดเขากระโจม มีป้ายติดบอกไว้ว่านี่คือพื้นที่ "สุดเขตประเทศไทย ภาคตะวันตก" เป็นที่ตั้งของกองร้อยตำรวจ ตระเวนชายแด (ตชด.137) หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า "เนิน 1000"  ซึ่งด้านหน้าคือเทือกเขาตะนาวศรีฝั่งประเทศพม่า ที่แนวรบด้านนี้สงบนิ่งไม่เปลี่ยนแปลงเคลื่อนไหวเหมือนแนวรบฝั่งไทย - กัมพูชา บนยอดเขากระโจม ไม่เพียง เป็นที่ตั้งของฐาน ตชด.เท่านั้น แต่ยังเป็นจุดกลางเต็นท์ของนักท่องเที่ยวผู้ที่ชื่นชอบในธรรมชาติอีกด้วย
เขากระโจม


หลังจากชมวิวทิวทัศน์บนยอดเขากระโจมแล้ง ระหว่างทาง ยังแวะชม "น้ำตกผาแดง" เดินเท้าเข้าไปประมาณ 200 เมตร ก่อนจะพบกับสายน้ำตกขนาดกลางไหลผ่านหน้าผาหินสีแดง อันเป็นที่มาของชื่อ "น้ำตกผาแดง" ท่ามกลาง ต้นไม้ใหญ่ร่มรื่น หากมาในช่วงหน้าฝนจะมีทากต้องเตรียมอุปกรณ์กันทากมาให้พร้อม นอกจากนี้ยังสามารถ แวะชมสีสันความสวยงามของกล้วยไม้สวยงามนานาพันธุ์ที่กล้วยไม้สวยๆ กันที่ "สวนผึ้งออร์คิด" ที่เต็มไปด้วย กล้วยไม้แวนด้าหลากสีสันหลายชนิด  ราคาไม่แพง
สวนผึ้งออร์คิดสวนผึ้งออร์คิด




การขึ้นไปที่เขากระโจม ต้องใช้ถขับเคลื่อน 4ล้อขึ้นเท่านั้น เนื่องจากว่าเส้นทางขึ้นเขากระโจม นั้นสูงชันและ สมบุกสมบัน  บางช่วงยังต้องลุยน้ำที่สูงถึงครึ่งคันรถ ก่อนจะไปลุ้นกัน กับเนินสูงยาว หรือหากไม่มีรถขับเคลื่อน 4 ล้อ สามารถนำรถไปจอดยังปากทางขึ้นเขากระโจม หลังจากนั้นโดยสารรถที่คอยให้บริการ คนละ 60 บาท


เขากระโจมเขากระโจม


ที่มาhttp://www.paiduaykan.com/province/central/ratchaburi/kaokrajome.html

เขาพะเนินทุ่ง

เขาพะเนินทุ่ง


เขาพะเนินทุ่ง ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน อยู่ห่างจากที่ทำการอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ประมาณ50กิโลเมตรเป็นภูเขาสูงประกอบด้วยทุ่งหญ้ากว้างสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ1,207เมตร ซึ่งบริเวณ โดยรอบจะเป็นป่าดงดิบมีสัตว์ป่านานาชนิดมากมายสภาพภูมิประเทศจะมีความสมบูรณ์และมีทิวทัศน์ ที่งดงาม นอกจากนี้พะเนินทุ่งยังเป็นจุดชมทะเลหมอกที่สวยงามโดยหมอกดังกล่าวเกิดจากต้นไม้ที่อุดมสมบูรณ์ แล้วคลาย ก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซต์ออกมาแล้วเกิดเป็นหมอกที่สวยงามไว้ให้นักท่องเที่ยวได้ชมกัน พะเนินทุ่งสามารถชม ทะเลหมอกได้เกือบตลอดปีในยามเช้าจะมองเห็นทะเลหมอกสีขาวปกคลุมทั่วหุบเขาเมื่อทะเลหมอก สลายตัวไป แล้วจะมองเห็นผืนป่าดงดิบเบื้องล่างเบียดตัวกันแน่นท่ามกลางเทือกเขาสลับซับซ้อนกว้างไกลสุดตา บางครั้งอาจ พบ นกเงือกกรามช้างบินอยู่เหนือผืนป่าที่พะเนินมีอากาศหนาวเย็นตลอดปี ท่านจะเห็นหมอก ยามเช้ามารวมตัว กันเป็นโดยจุดชมทะเลหมอกจะสามารถชมได้ 2 จุด คือ จุดชมวิวกิโลเมตรที่ 30 และ 36 ในช่วงเดือน พฤศจิกายนเป็นต้นไปทะเลหมอกจะสวยงามมาก อากาศเย็นสบาย


พะเนินทุ่ง


ไม่ไกลจากพะเนินทุ่งยังมีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจได้แก่ น้ำตกทอทิพย์ และน้ำตกธารทิพย์ที่สวยงามอยู่บน ยอดเขานอกจากนี้พะเนินทุ่งยังมีกิจกรรมการชมนก นานาชนิดรวม 400 กว่าชนิด ชมผีเสื้อหลากสีกิจกรรม เดินป่าเส้นทางขึ้นเขาพะเนินทุ่ง บางช่วงชัน 45 องศา และบางช่วงต้องผ่านลำธารกว้าง 6 เมตร ขรุขระยานพาหนะ ที่ใช้ควรเป็นรถยนต์ประเภท โฟล์วิล และมีกำลังเครื่องยนต์แรง จึงจะสะดวกต่อการเดินทาง ไม่เหมาะกับการใช้ รถยนต์ประเภท แรงต่ำขับเคลื่อนล้อเดียวข้อสำคัญผู้ทีทำหน้าที่ขับรถขึ้นเขาจะต้องมีประสบการณ์ขับรถขึ้นเขามา ก่อนจึงจะปลอดภัยช่วงเดินทางขึ้นเขาพะเนินทุ่งและบริเวณชมทะเลหมอกไม่มีสัญญาณโทรศัพท์มือถือในช่วง ฤดูฝน การท่องเที่ยวและพักแรมบริเวณบ้านกร่าง-เขาพะเนินทุ่ง ไม่สะดวกอาจก่อให้เกิดอันตรายแก่นักท่องเที่ยว และก่อให้เกิดผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติสูง จึงมีกำหนดปิดการท่องเที่ยวและพักแรมเฉพาะบริเวณ บ้านกร่างและเขาพะเนินทุ่ง ในระหว่างวันที่ 1 สิงหาคม - 31 ตุลาคม ของทุกปี เพื่อความปลอดภัยแก่ นักท่องเที่ยวและ เปิดโอกาสให้ธรรมชาติได้มีโอกาสฟื้นตัว
พะเนินทุ่ง พะเนินทุ่ง



สิ่งอำนวยความสะดวกและที่พัก
นักท่องเที่ยวที่ต้องการมาสัมผัสทะเลหมอกอันงดงามบนยอดพะเนินทุ่ง จะนิยมตั้งแคมป์พักแรม ในบริเวณ 2 จุดนี้
- กางเต้นท์พักแรมได้ที่พะเนินทุ่ง ซึ่งข้างบนจะมีลานกางเต้นท์แบบธรรมชาติไว้คอยให้บริการ มีอาหารจำหน่าย
- หากต้องการชมนก ชมผีเสื้อหลากสี ก้มาสามารถตั้งแคมป์ได้ที่ แคมป์บ้านกร่างแคมป์บ้านกร่าง อยู่ห่างจาก ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ประมาณ 32 กิโลเมตร เป็นจุดเริ่มต้นปล่อยรถขึ้นไปบนพะเนินทุ่ง


พะเนินทุ่งพะเนินทุ่ง


ที่มา http://www.paiduaykan.com/76_province/central/phetchaburi/panerntung.html

อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย



อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย



อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย อยู่ตรงข้ามพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ รามคำแหง ห่างจากตัวจังหวัดสุโขทัยไปทางทิศตะวันตกประมาณ ๑๒ กิโลเมตร ถนนจรดวิถีถ่อง ทางหลวงหมายเลข 12  สายสุโขทัย-ตาก
ในอดีตเมืองสุโขทัยเคยเป็นราชธานีของไทยมีความเจริญรุ่งเรือง เป็นศูนย์กลางการปกครอง ศาสนา และเศรษฐกิจ ภายในอุทยานฯ มีสถานที่สำคัญที่เป็นพระราชวัง ศาสนสถาน โบราณสถาน โดยมีคูเมือง กำแพงเมือง และประตูเมืองโบราณล้อมรอบอยู่ในรูปสี่เหลี่ยมจตุรัส
                บริเวณพื้นที่อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยครอบคลุมพื้นที่กว่า 70 ตารางกิโลเมตร และมีโบราณสถานสำคัญที่น่าชมมากมาย
อัตราค่าเข้าชม  นักท่องเที่ยว ชาวไทย 10 บาท ชาวต่างชาติ 40 บาท หรือสามารถซื้อตั๋วรวมได้ ชาวไทย 30 บาท ชาวต่างชาติ 150 บาท โดยบัตรนี้สามารถเข้าชมอุทยานฯ ต่าง ๆ ในจังหวัดสุโขทัยได้ ภายในระยะเวลา 30 วัน เปิดให้ เข้าชมทุกวันตั้งแต่เวลา 06.00-21.00 น. (ปิดจำหน่ายบัตรเวลา 18.00 น.) หมายเหตุ ตั้งแต่เวลาประมาณ 19.00-21.00 น.  จะมีการส่องไฟชมโบราณสถาน 
 ในกรณีที่นำยานพาหนะเข้าเขตโบราณสถานจะต้องเสียค่าธรรมเนียมอีกด้วย และที่บริเวณลานจอดรถของอุทยานฯ ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวมีบริการ รถราง นำชมรอบ ๆ บริเวณอุทยานฯ อัตราค่าบริการ นักท่องเที่ยว ชาวไทย 10 บาท   ชาวต่างชาติ 20 บาท นอกจากนั้นที่บริเวณด้านหน้าอุทยานฯ มีบริการ รถจักรยาน ให้เช่าในราคาคันละ 20 บาท
                กรณีเข้าชมเป็นหมู่เป็นคณะ และต้องการวิทยากรนำชม หรือนักท่องเที่ยวที่ต้องการสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม  ติดต่อได้ที่ ศูนย์บริการข้อมูลนักท่องเที่ยวอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย ตำบลเมืองเก่า อำเภอเมือง จังหวัดสุโขทัย 64210 โทร. 0-5569-7310
การเดินทาง  จากตัวเมืองสุโขทัย นักท่องเที่ยวสามารถนั่งรถประจำทางสายเมืองเก่า (รถสองแถว) มีรถออกทุก 20 นาที จอดรอบบริเวณท่ารถใกล้ป้อมยามตำรวจมาลงที่หน้าอุทยานฯ มีรถออกทุก 20 นา


พระบรมราชานุสาวรีย์พ่อขุนรามคำแหงมหาราช


พระบรมราชานุสาวรีย์พ่อขุนรามคำแหงมหาราช  

 สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2518  ตั้งอยู่ริมถนนจรดวิถีถ่อง ทางทิศเหนือของวัดมหาธาตุ ลักษณะพระบรมรูปพ่อขุนรามคำแหงมหาราชเป็นพระบรมรูปหล่อด้วยโลหะทองเหลืองผสมทองแดงรมดำ ขนาด 2  เท่าขององค์จริง สูง ๓ เมตร ประทับนั่งห้อยพระบาทบนแท่นมนังคศิลาบาตร พระหัตถ์ขวาถือคัมภีร์ พระหัตถ์ซ้ายอยู่ในท่าทรงสั่งสอนประชาชน แท่นด้านซ้ายมีพานวางพระขรรค์ไว้ข้าง ๆ ลักษณะพระพักตร์เหมือนอย่างพระพุทธรูปสมัยสุโขทัยตอนต้น ที่ถ่ายทอดความรู้สึกว่า พ่อขุนรามคำแหงมหาราชมีน้ำพระทัยเมตตากรุณา ยุติธรรม มีความเด็ดขาดในการปกครองแบบพ่อปกครองลูก ที่ด้านข้างมีภาพแผ่นจำหลักจารึกเหตุการณ์เกี่ยวกับพระราชกรณียกิจของพระองค์ตามที่อ้างถึง


วัดมหาธาตุ

วัดมหาธาตุ



   ตั้งอยู่กลางเมือง เป็นวัดใหญ่ และวัดสำคัญของกรุงสุโขทัย มีพระเจดีย์มหาธาตุทรงดอกบัวตูม หรือทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ เป็นศิลปะแบบสุโขทัยแท้ ตั้งเป็นเจดีย์ประธาน ล้อมรอบด้วยเจดีย์ 8 องค์ บนฐานเดียวกัน คือ ปรางค์ศิลาแลงตั้งอยู่ที่ทิศทั้ง 4 และเจดีย์ทรงปราสาทก่อด้วยอิฐที่ได้รับอิทธิพลมาจากล้านนา จากการสำรวจ  พบว่าบริเวณวัดมหาธาตุมีเจดีย์แบบต่าง ๆ มากถึง 200 องค์ วิหาร 10 แห่ง ซุ้มพระ (มณฑป) 8 ซุ้ม พระอุโบสถ 1  แห่ง ตระพัง 4 แห่ง  ด้านตะวันออกบนเจดีย์ประธานมีวิหารขนาดใหญ่ก่อด้วยศิลาแลง มีแท่นซึ่งเคยเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปสำริดที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย คือ พระศรีศากยมุนี ปัจจุบันได้รับการเคลื่อนย้ายไปอยู่ที่วัดสุทัศน์ฯ กรุงเทพมหานคร ที่ด้านเหนือ และด้านใต้ของเจดีย์มหาธาตุมีพระพุทธรูปยืนภายในซุ้มพระ เรียกว่า "พระอัฏฐารศ"


วัดชนะสงคราม  

 วัดชนะสงคราม  

  ตั้งอยู่ทางด้านเหนือของวัดมหาธาตุ ใกล้กับโบราณสถานที่เรียกว่าหลักเมือง เดิมเรียกว่า วัดราชบูรณะ มีลักษณะเด่นคือ เจดีย์ทรงระฆังกลมขนาดใหญ่ เป็นเจดีย์ประธาน และมีวิหาร โบสถ์ เจดีย์รายต่าง ๆ  

วัดศรีสวาย
วัดศรีสวาย



  ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของวัดมหาธาตุ ห่างออกไปประมาณ 350  เมตร โบราณสถานที่สำคัญตั้งอยู่ในกำแพงแก้ว ประกอบด้วยปรางค์ 3  องค์ รูปแบบศิลปะลพบุรี ลักษณะของปรางค์ค่อนข้างเพรียว ตั้งอยู่บนฐานเตี้ย ๆ ลวดลายปูนปั้นบางส่วนเหมือนลายบนเครื่องถ้วยจีน สมัยราชวงศ์หยวน ได้พบทับหลังสลักเป็นรูปนารายณ์บรรทมสินธุ์ ชิ้นส่วนของเทวรูป และศิวลึงค์ที่แสดงให้เห็นว่าเคยเป็นเทวสถานในศาสนาฮินดูมาก่อน แล้วแปลงเป็นพุทธสถานโดยต่อเติมวิหารขึ้นที่ด้านหน้า แล้วเป็นวัดในพุทธศาสนาภายหลัง

ที่มา  http://www.sukhothai.go.th/tour/tour_01.htm

เขาสก (Khao Sok)





เขาสก (Khao Sok)

ที่ตั้งและแผนที่
อุทยานแห่งชาติเขาสก 
หมู่ที่ 6 ต.คลองศก อ. พนม จ. สุราษฏร์ธานี 84250 
โทรศัพท์ : 0 7739 5139, 0 7739 5154-5 โทรสาร : 0 7739 5139, 0 7739 5154 


หัวหน้าอุทยานแห่งชาติ : นายสมเกียรติ หลวงบำรุง 


อุทยานแห่งชาติเขาสกดินแดนศูนย์กลางของ “ขุนเขาแห่งป่าฝน” เป็นผืนป่าดิบชื้นผืนใหญ่ที่สุดและมีความสำคัญของภาคใต้อันประกอบไปด้วยอุทยานแห่งชาติเขาสก เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าคลองแสง เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าคลองยัน เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าคลองนาคา อุทยานแห่งชาติศรีพังงา และอุทยานแห่งชาติแก่งกรุง มีพื้นที่ทั้งสิ้น 2,296,879.5 ไร่ มีความหลากหลายทางชีวภาพสูง อุดมไปด้วยพืชพรรณมากมายหลายชนิด ทั้งพืชพรรณที่หายากและเป็นพืชเฉพาะถิ่น อันได้แก่ บัวผุด ปาล์มเจ้าเมืองถลางหรือปาล์มหลังขาวและปาล์มพระราหู นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่านานาชนิด โดยเฉพาะพบสัตว์ป่าสงวนถึง 4 ชนิด คือ เก้งหม้อ เลียงผา สมเสร็จ และแมวลายหินอ่อน และประกอบกับสภาพพื้นที่มีทิวทัศน์ ที่สวยงาม มีความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติทั้งน้ำตก หน้าผา ถ้ำ และ ทิวทัศน์เทือกเขาหินปูนที่ตั้งตระหง่านเหนือผืนน้ำอ่างเก็บน้ำเขื่อนรัชชประภา จนได้รับฉายาว่า กุ้ยหลินเมืองไทย 


อุทยานแห่งชาติเขาสกจัดตั้งขึ้นตามพระราชกฤษฎีกากำหนดบริเวณที่ดินป่าคลองหยีและคลองพระแสง ในท้องที่ตำบลคลองศก ตำบลพังกาญจน์ ตำบลพนม อำเภอพนม ตำบลพะแสงและตำบลเขาพัง อำเภอบ้านตาขุน จังหวัดสุราษฎร์ธานี ครอบคลุมพื้นที่ 645.52 ตารางกิโลเมตร หรือ 403,450 ไร่ โดยประกาศในราชกิจานุเบกษาเล่มที่ 97 ตอนที่ 197 ลงวันที่ 22 ธันวาคม 2523 เป็นอุทยานแห่งชาติลำดับที่ 22 ของประเทศไทย ต่อมาได้มีการปรับปรุงแนวเขตและเพิกถอนบริเวณทับซ้อนกับแนวเขตนิคมสหกรณ์พนมได้ทำการผนวกพื้นที่น้ำเหนืออ่างเก็บน้ำเขื่อนรัชชประภาเข้าเป็นอุทยานแห่งชาติเขาสก รวมมีเนื้อที่ทั้งหมด 738.74 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 461,712.5 ไร่ ตามประกาศพระราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 111 ตอนที่ 32 ก เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2537 







ลักษณะภูมิประเทศ 
อุทยานแห่งชาติเขาสกอยู่บริเวณตอนใต้ของประเทศไทย ระหว่างเส้นรุ้งที่ 08 องศา 50 ลิบดา 43 พิลิบดา – 09 องศา 17 ลิบดา 24 พิลิบดา เหนือ และระหว่างเส้นแวงที่ 98 องศา 30 ลิบดา 44 พิลิบดา – 98 องศา 90 ลิบดา 13 พิลิบดา ตะวันออก มีอาณาเขตทิศเหนือจดเขตรักษาพันธุ์สัตวป่าคลองแสง และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าคลองนาคา ทิศใต้จดนิคมสหกรณ์พนม ทิศตะวันออกจดเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าคลองแสงและเขื่อนรัชชประภา และทิศตะวันตกจดอุทยานแห่งชาติศรีพังงา 
สภาพภูมิประเทศโดยทั่วไปเป็นภูเขาดินและภูเขาหินปูนสูงสลับซับซ้อน โดยเฉพาะช่องแคบเขากาเลาะมีลักษณะเป็นภูเขาหินปูนที่มียอดแหลมระเกะระกะ มีแนวหน้าผาสูงชันบางแห่งเป็นแท่งสูงขึ้นไปในอากาศคล้ายหอคอยสูง ที่ราบมีไม่มาก มีสภาพป่าเป็นป่าดงดิบที่สมบูรณ์มากเป็นป่าต้นน้ำลำธารของคลองศกและคลองพะแสง ไหลมาบรรจบรวมกันเป็นต้นกำเนิดของคลองพุมดวง ซึ่งเป็นสาขาหนึ่งที่สำคัญของแม่น้ำตาปี จุดสูงสุดมีความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 961 เมตร โดยเฉลี่ยสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 200 เมตร และลักษณะดินโดยทั่วไปเป็นดินเหนียวปนทรายมีสีแดง บางแห่งเป็นดินลูกรังแต่มีส่วนน้อย 
พื้นที่เขตอุทยานแห่งชาติด้านทิศเหนือเกือบทั้งหมด เป็นทะเลสาบที่เกิดขึ้นจากการสร้างเขื่อนรัชชประภา ซึ่งสร้างปิดกั้นคลองพะแสง มีขนาดใหญ่ประมาณ 168 ตารางกิโลเมตร ก่อให้เกิดเกาะเล็กเกาะน้อยประมาณ 162 เกาะ พื้นที่ประมาณ 14.06 ตารางกิโลเมตร เกาะเล็กเกาะน้อยนี้ก็คือ ส่วนที่โผล่พ้นน้ำของเขาหินปูนนั่นเอง ก่อให้เกิดทัศนียภาพที่สวยงามยิ่ง


ลักษณะภูมิอากาศ
สภาพภูมิอากาศโดยทั่วไปของอุทยานแห่งชาติเขาสก เป็นแบบฝนเมืองร้อนเฉพาะฤดู (Tropical Savanna Climate) ลมมรสุมที่พัดผ่านแบ่งออกเป็น 2 ช่วง คือ ระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงเดือนกันยายนจะมีฝนตกชุก เนื่องจากได้รับอิทธิพลของลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ และช่วงตั้งแต่เดือนตุลาคมถึงเดือนธันวาคมฝนที่ตกลงมาเนื่องจากอิทธิพลของลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ ฤดูแล้งเริ่มตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเมษายน ในช่วงระยะนี้ลมมรตะวันออกเฉียงเหนืออ่อนกำลังลง มีลมมรสุมตะวันออกเฉียงใต้พัดมาแทนที่ ทำให้อากาศร้อนและอุณหภูมิสูงขึ้นเล็กน้อย มีฝนตกบ้างไม่มากนัก กรมอุตุนิยมวิทยา ในคาบ 33 ปี (พ.ศ.2504-2538) พบว่าอุณหภูมิเฉลี่ยตลอดปี 26.4 องศาเซลเซียส โดยมีอุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ย 27.9 องศาเซลเซียส ในเดือนเมษายน และอุณหภูมิต่ำสุดเฉลี่ย 25.0 องศาเซลเซียส ในเดือนมกราคม ความชื้นสัมพัทธ์เฉลี่ยตลอดปีอยู่ในช่วงร้อยละ 8.3 ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยทั้งปีอยู่ในช่วง 1,635.5 มิลลิเมตร


พืชพันธุ์และสัตว์ป่า
สภาพป่าโดยทั่วไปของอุทยานแห่งชาติเขาสกเป็น 
ป่าดงดิบชื้น ซึ่งพบเกือบ 70 เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่ ส่วนมากกระจัดกระจายอยู่ตามบริเวณที่มีความชุ่มชื้นมาก ลักษณะสภาพทั่วไปรกทึบ มีเรือนยอดต่อเนื่องจากชั้นบนสุดลงมาถึงพื้นดิน พันธุ์ไม้ที่พบสำคัญได้แก่ ยางเสียน นาคบุตร ตะเคียนทอง จิกเขา ไข่เขียว ตาเสือ ตังหนใบใหญ่ สะตอ คอแห้ง เสียดช่อ เต้าหลวง ฯลฯ พืชพื้นล่างได้แก่ ปาล์มช้างไห้ หวายขริง หวายเดา เร่ว และปุด เป็นต้น ในบริเวณที่เป็นสันเขาและหน้าผาหินปูนจะพบสังคมพืชของ 


ป่าเขาหินปูน พืชพรรณที่สามารถขึ้นอยู่ได้ส่วนใหญ่เป็นไม้ยืนต้นที่ทนแล้ง รวมไปถึงพืชล้มลุกที่มีระบบรากยึดเกาะตามหน้าผาได้ดี พืชที่พบได้แก่ จันทน์ผา กำลังหนุมาน เตยเขา มะนาวผี ตะเคียนหิน มลายเขา พลับพลา สลัดไดป่า เป็นต้น จากความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่าอุทยานแห่งชาติเขาสก จึงเป็นแหล่งรวมพืชหายากและพืชเฉพาะถิ่น เช่น บัวผุด หมากพระราหู ปาล์มเจ้าเมืองถลาง รองเท้านารีเหลืองกร เอื้องฝาหอย มหาสดำ สังวาลย์โนรี เป็นต้น บางส่วนของพื้นที่ป่าต้นน้ำคลองศกเป็นส่วนหนึ่งของผืนป่ารอยต่อของการกระจายพันธุ์พืช เช่น แดง ยวนแหล และตะเคียนชันตาแมว 


บัวผุด มีชื่อวิทยาศาสตร์ Rafflesia kerrii Meijer ถือได้ว่าเป็นดอกไม้ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 70-80 เซนติเมตร เป็นกาฝากชนิดหนึ่งที่อาศัยกินน้ำเลี้ยงจากรากและลำต้นของไม้เถาที่ชื่อว่า ย่านไก่ต้ม ( Tetrastigma papillosumplanch ) จะโผล่เฉพาะดอก ซึ่งเป็นดอกเดี่ยวสีแดงคล้ำหรือน้ำตาลปนแดงคล้ำ ขึ้นมาจากพื้นดินในระหว่างฤดูฝนหรือในระยะที่อากาศและพื้นดินยังมีความชุ่มชื้นสูงคือระหว่างเดือนพฤษภาคม-ธันวาคม 


อุทยานแห่งชาติเขาสกเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าไม่น้อยกว่า 415 ชนิด ประกอบด้วย สัตว์ป่าสงวน เช่น สมเสร็จ เลียงผา เก้งหม้อ และแมวลายหินอ่อน นอกจากนี้มีสัตว์อื่นๆ เช่น ช้างป่า กระทิง วัวแดง เสือโคร่ง เสือดาว เสือลายเมฆ หมีขอ ค่างดำ ชะนีธรรมดา ไก่ป่า นกคุ่มอกลาย นกเขาหลวง นกอีวาบตั๊กแตน นกบั้งรอกใหญ่ นกกระปูดใหญ่ นกกะเต็นอกขาว นกโพระดกสวน นกหัวขวานสามนิ้วหลังทอง นกนางแอ่นบ้าน นกปรอดทอง นกแซงแซวหางบ่วงใหญ่ นกจับแมลงหัวเทา นกกระติ๊ดตะโพกขาว ตะพาบน้ำ จิ้งจกหางเรียบ กิ้งก่าบินปีกส้ม จิ้งเหลนภูเขาเกล็ดเรียบ งูลายสอธรรมดา งูสิงธรรมดา งูปล้องทอง งูเขียวดอกหมาก เขียดบัว กบนา อึ่งลายแต้ม ฯลฯ 














ที่มา  park.dnp.go.th/visitor/nationparkshow.php?

วันพุธที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

อิงขุนเขา โอบกอดฟ้า ณ ม่อนแจ่ม

อิงขุนเขา โอบกอดฟ้า ณ ม่อนแจ่ม

 ม่อนแจ่ม คือสถานที่พักแห่งใหม่ของโครงการหลวง เพิ่งเปิดตัวไม่เมื่อปลายปี 2552 เป็นพื้นที่บนสันเขาในระดับความสูงประมาณ1,350 เมตรจากระดับน้ำทะเล บริเวณหมู่บ้านม้งหนองหอย อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่

          ม่อนแจ่ม ปรากฎโฉมในรูปแบบ "แคมปิ้ง รีสอร์ท" ที่กลมกลืนกับธรรมชาติได้อย่างลงตัว พร้อมชูความเป็นส่วนตัวและความสะดวกสบาย เช่น ในเต้นท์มีบริเวณส่วนตัว มีห้องน้ำส่วนตัว น้ำร้อน ไฟฟ้า และเครื่องใช้ครบครัน ประหนึ่งอยู่ในห้องพักโรงแรม แต่พิเศษกว่าตรงที่ได้สัมผัสกับธรรมชาติอย่างใกล้ชิด เพราะเพียงแค่คุณเปิดหน้าต่าง สายลมเย็น ๆ วิวขุนเขา สายหมอก ก็โผล่รอต้อนรับ แถมยามค่ำคืนดาวน้อยใหญ่จะค่อย ๆ ส่องประกายแวววับให้มองเพลิน ๆ

          สำหรับเต้นท์ที่พักมี 2 ขนาด คือ เต้นท์เล็ก 800 บาทต่อคืน (2 คน) และเต้นท์ใหญ่ 1,200 บาทต่อคืน (4 คน)



          ดื่มด่ำกับความงดงามของทัศนียภาพกันพักใหญ่ ท้องไส้ก็เริ่มร้องหาอาหารอร่อย ๆ อะ ๆ ไม่ต้องมองไปไหนไกล ที่ ม่อนแจ่ม มีร้านอาหารที่นำผลิตผลท้องถิ่นที่ปลูกเอง มาปรุงให้รับประทานกันด้วย ผัก ๆ สด ๆ หวานกรอบ หาชิมยากในเมืองกรุง และถ้ากินอิ่มแล้วอยากยืดแข้งขืดขา ก็สามารถไปเดินชมแปลงสตรอเบอร์รีผลสีแดงสด


          หรือไปเดินเล่นรอบเขาที่มีวิวสวย ๆ ก็ได้ และบริเวณใกล้ ๆ ม่อนแจ่ม จะเป็นที่ตั้งของ ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงหนองหอย ภายในมีแปลงผักและงานวิจัยผักเมืองหนาว เช่น อาติโช๊ค, แปลงสมุนไพร เลมอนทาร์ม มิ้น คาร์โมมายด์ โรสแมรี่, ไม้ผล เช่น พลัม องุ่นไร้เมล็ด สตรอเบอรี่หวานฉ่ำ, แปลงผักไฮโดรโพนิค เป็นเทคโนโลยีการปลูกพืชโดยไม่ใช้ดิน เช่น โอ้คลีฟแดง และผักตระกูลสลัด มะเขือเทศดอยคำ ให้ได้ชื่นชม

          หรือจะไปเดินศึกษาธรรมชาติ ณ ดอยม่อนล่อง ซึ่งเป็นจุดชมวิว ชมทะเลหมอก บนหน้าผา 1,460 เมตร มองเห็นทิวทัศน์ได้กว้าง ชมพรรณไม้และดอกไม้ป่าหลากหลาย แต่ถ้าใครกลัวหลง ที่นี่ก็มีไกด์ท้องถิ่น และมัคคุเทศก์น้อยของหมู่บ้านชาวเขา บริการนำเยี่ยมชมวิถีชีวิตชาวเขา ติดต่อสอบถามรายละเอียด โทรศัพท์ 053- 939173 , 081-9509767 หรืออีเมล NONGHOYRPF@gmail.com

          และนี่คือ ม่อนแจ่ม สถานที่ท่องเที่ยวอกีแห่งหนึ่งที่เราหยิบมาแนะนำกัน ... อย่าลืมออกไปกอดเมืองไทยให้หายเหงา หายเหนื่อย และหายเบื่อกันนะคะ


การเดินทาง

          ม่อนแจ่ม ห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่เพียง 40 นาทีเท่านั้น โดยมาตามทางหลวง หมายเลข 107 สายเชียงใหม่-ฝาง ตรงไปถึงอำเภอแม่ริม บริเวณกิโลเมตรที่ 17 ให้เลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวง หมายเลข 1096 สายแม่ริม-สะเมิง บริเวณกิโลเมตรที่ 15 ให้เลี้ยวขวาที่บ้านโป่งแยก ตรงไปอีก 6 กิโลเมตร ก็ถึงบน "ม่อนแจ่ม"

ที่มา   http://travel.kapook.com/view19752.html

น้ำตกเอราวัณ

 น้ำตกเอราวัณ เป็นน้ำตกที่ใหญ่และสวยงาม บนฝั่งแม่น้ำแควใหญ่ น้ำตกเอราวัณมีความยาว 2,000 เมตร ทั้งหมด 7 ชั้น อยู่ห่างจากตัวเมือง 65 กิโลเมตร ขึ้นไปบนเส้นทางสายกาญจนบุรี-ศรีสวัสดิ์ (ทางหลวงหมายเลข 3199) เมื่อถึงกิโลเมตรที่ 56 แยกซ้ายข้ามสะพานเข้าตลาดเขื่อนศรีนครินทร์ตรงไปอีกประมาณ 3 กิโลเมตร ถึงลานจอดรถแล้วเดินต่อไปอีก 500 เมตร จะถึงน้ำตก สำหรับการเดินทางโดยรถประจำทาง มีรถออกจากสถานีขนส่งใกล้ที่ทำการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย มายังตลาดเขื่อนศรีนครินทร์ทุกวัน ที่บริเวณน้ำตกเอราวัณมีบ้านพักของกองอุทยานแห่งชาติ กรมป่าไม้ ไว้บริการนักท่องเที่ยวด้วย ติดต่อสอบถามรายละเอียดได้ที่ โทร. 579-0529, 579-4842







วันศุกร์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2555

เบิ่งผีตาโขน

   



  ประเพณีแห่ผีตาโขน จัดเป็นส่วนหนึ่งในงานบุญประเพณีใหญ่หรือที่เรียกว่า “งานบุญหลวง” หรือ “บุญผะเหวด” ซึ่งตรงกับเดือน 7 มีขึ้นที่อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย และจัดเป็นการละเล่นที่ถือเป็นประเพณีทุกปี เกี่ยวโยงกับงานบุญพระเวสหรือเทศน์มหาชาติประจำปีกับพระธาตุเจดีย์สองรัก ปูชนียสถานสำคัญของชาวด่านซ้าย
ต้นกำเนิดผีตาโขน
        ที่มานั้นไม่ชัดเจน แต่กล่าวกันว่าเป็นประเพณีที่ใกล้เคียงกับการบูชาบรรพบุรุษของอาณาจักรล้านช้างหลวงพระบาง (ในอดีตแนวเขตแดน ด่านซ้าย เชียงคาน และหล่มเก่า เป็นส่วนหนึ่งในการปกครองของอาณาจักรล้านช้างร่มขาวหลวงพระบาง) ในอีกที่มาหนึ่งกล่าวกันว่า การแห่ผีตาโขนเกิดขึ้นเมื่อครั้งที่พระเวสสันดรและนางมัทรีจะเดินทางออกจากป่า กลับสู่เมืองบรรดาผีป่าหลายตนและสัตว์นานาชนิดอาลัยรักจึงพาแห่แหนแฝงตัวแฝงตน มากับชาวบ้านเพื่อมาส่งทั้งสองพระองค์กลับเมือง เรียกกันว่า “ผีตามคน” หรือ “ผีตาขน” จนกลายมาเป็น “ผีตาโขน” อย่างในปัจจุบัน




ผีตาโขนใหญ่ ทำเป็นหุ่นรูปผีทำจากไม้ไผ่สานมีขนาดใหญ่กว่าคนธรรมดาประมาณ 2 เท่าประดับตกแต่งรูปร่างหน้าตาด้วยเศษวัสดุที่หาได้ในท้องถิ่น เวลาแห่ คนเล่นจะต้องเข้าไปอยู่ข้างในตัวหุ่น แต่ละปีจะทำผีตาโขนใหญ่เพียง 2 ตัว คือผีตาโขนชาย1ตัวและหญิง1ตัว สังเกตจากเครื่องเพศปรากฏชัดเจนที่ตัวหุ่น ผู้มีหน้าที่ทำผีตาโขนใหญ่จะมีเฉพาะกลุ่มเท่านั้น เพราะคนอื่นไม่มีสิทธิ์ทำ การทำก็ต้องได้รับอนุญาตจากผีหรือเจ้าก่อน ถ้าได้รับอนุญาตแล้วต้องทำทุกปีหรือทำติดต่อกันอย่างน้อย 3 ปี
ผีตาโขนเล็ก ผีตาโขนเล็กเป็นการละเล่นของเด็ก ไม่ว่าเด็กเล็ก เด็กวัยรุ่นหรือผู้ใหญ่ ทั้งผู้หญิงชาย มีสิทธิ์ทำและเข้าร่วมสนุกได้ทุกคน แต่ผู้หญิงไม่ค่อยเข้าร่วมเพราะเป็นการเล่นค่อนข้างผาดโผนและซุกซน

ผู้เข้าร่วมในพิธีนี้จะแต่งกายคล้ายผีและปีศาจใส่หน้ากากขนาดใหญ่ เครื่องแต่งกายของผีตาโขน ส่วนใหญ่มักประกอบด้วย
ส่วนหัวหรือที่เรียกว่าหน้ากากนั้น ทำด้วย "หวด" หรือภาชนะที่ใช้นึ่งข้าวเหนียว ซึ่งเป็นส่วนด้านบนดูคล้ายหมวก ส่วนหน้านั้นทำจากโคนก้านมะพร้าว นำมาตัดปาดให้เป็นรูปหน้ากากและเจาะช่องตา จมูกนั้นทำจากไม้เนื้ออ่อน แกะให้เป็นรูปทรงต่าง ๆ ตามแต่จินตนาการของผู้สร้างสรรค์ โดยทำเป็นลักษณะยาวแหลมคล้ายงวงช้าง ส่วนเขานั้นทำจากปลีมะพร้าวแห้ง โดยนำส่วนประกอบต่าง ๆ มาเย็บติดเข้าไว้ด้วยกัน และทาสีสันวาดลวดลายไปบนด้านหน้าของหน้ากากนั้น ๆ หลังจากนั้นจะเย็บเศษผ้าติดไว้บริเวณด้านบน(หลัง) เพื่อให้คลุมส่วนคอของผู้ใส่ไปจนถึงไหล่
ด้านเสื้อผ้าหรือเครื่องแต่งกาย นั้น เป็นชุดที่ทำจากเศษผ้านำมาเย็บติดกัน และมี "หมากกะแหล่ง" หรือกระดิ่ง (คล้ายกับที่แขวนคอโค, กระบือ) แขวนผูกไว้บริเวณเอว เพื่อให้เกิดเสียงดังเป็นจังหวะเวลาเดิน และส่ายสะโพก
ส่วนประกอบสุดท้าย คือ ดาบหรือง้าว ที่จะทำจากไม้เนื้ออ่อน ในขบวนแห่จะประกอบไปด้วยการร้องรำทำเพลงอย่างสนุกสนาน
  เนื่องจากงานประเพณีผีตาโขนเป็นงานบุญใหญ่ซึ่งเรียกกันว่างานบุญหลวง จัดขึ้นที่วัดโพนชัย อ.ด่านซ้าย โดยมีการละเล่นผีตาโขน มีการเทศน์มหาชาติ มีการทำบุญพระธาตุศรีสองรักและงานบุญต่างๆเข้ามาผสมอยู่รวม ๆ กัน จึงมีการจัดงานกัน 3 วัน

วันแรก เริ่มพิธีตอนเช้า 04.00-05.00 น. คณะแสนหรือข้าทาสบริวารของเจ้าพ่อกวนจะนำอุปกรณ์ มีด ดาบ หอก ฉัตร พานดอกไม้ ธูปเทียน ขันห้าขันแปด(พานดอกไม้ 5 คู่ หรือ 8 คู่) ถือเดินนำขบวนไปที่ริมแม่น้ำหมัน เพื่อนิมนต์พระอุปคุตต์ พระผู้มีฤทธานุภาพมาก และมักเนรมิตกายอยู่ในมหาสมุทร เพื่อป้องกันภัยอันตราย และให้เกิดความสุขสวัสดี เมื่อถึงแล้วผู้อันเชิญต้องกล่าวพระคาถาและให้อีกคนลงไปในน้ำ งมก้อนหินใต้น้ำขึ้นมา ถามว่า “ใช่พระอุปคุตต์หรือไม่” ผู้ที่ยืนอยู่บนฝั่งตอบว่า “ไม่ใช่” พอก้อนหินก้อนที่ 3 ให้ตอบว่า “ใช่ นั่นแหละพระอุปคุตต์ที่แท้จริง” เมื่อได้พระอุปคุตต์มาแล้ว ก็นำใส่พาน แล้วนำขบวนกลับที่หอพระอุปคุตต์ ทำการทักขิณาวัฏ 3 รอบ มีการยิงปืนและจุดประทัด ซึ่งช่วงเวลานั้นบรรดาผีตาโขนที่นอนหลับหรืออยู่ตามที่ต่างๆก็จะมาร่วมขบวนด้วยความยินดีปรีดา เต้นรำ เข้าจังหวะกับเสียงหมากกระแร่ง ซึ่งเป็นกระดิ่งผูกคอวัวหรือกระดิ่งให้ดังเสียงดัง

วันที่สอง เป็นพิธีแห่พระเวส ในขบวนประกอบด้วย พระพุทธรูป 1 องค์ พระสงฆ์ 4 รูป นั่งบนแคร่หามตามด้วย เจ้าพ่อกวน นั่งอยู่บนกระบอกบั้งไฟ ท้ายขบวนเป็นเจ้าแม่นางเทียม กับบริวาร ชาวบ้าน และเหล่าผีตาโขน เดินตามเสด็จไปรอบเมือง ก่อนตะวันตกดิน สำหรับคนที่เล่นเป็นผีตาโขนใหญ่ ต้องถอดเครื่องแต่งกายผีตาโขนใหญ่ออกให้หมดและนำไปทิ้งในแม่น้ำหมัน ห้ามนำเข้าบ้าน เป็นการทิ้งความทุกข์ยากและสิ่งเลวร้ายไป รอจนปีหน้าฟ้าใหม่แล้วค่อยทำเล่นกันใหม่
วันที่สาม เป็นการรวมเอางานบุญประเพณีประจำเดือนต่างๆของปีมารวมกันจัดในงานบุญหลวง ประชาชนจะมานั่งฟังเทศน์มหาชาติ 13 กัณฑ์ ที่วัดโพนชัย เพื่อเป็นการสร้างกุศลและเป็นมงคลแก่ชีวิต
        งานประเพณีบุญหลวงและการละเล่นผีตาโขน ถือเป็นงานที่แสดงออกถึงศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้านอันดีงามที่เป็นเอกลักษณ์ของอำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย



ที่มา...http://allknowledges.tripod.com/phitakhon.html

ดอยอินทนนท์ (Doi Inthanon)

ดอยอินทนนท์ (Doi Inthanon)


ที่ตั้งและแผนที่
อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์

สถานที่ติดต่อ : 119 หมู่7 ต.บ้านหลวง อ.จอมทอง เชียงใหม่ 50160
โทรศัพท์ : 
  05...   05...  
โทรสาร : 
  05...  
หัวหน้าอุทยานแห่งชาติ : นายเกรียงศักดิ์ ถนอมพันธ์
อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ ประกาศเป็นอุทยานฯ เมื่อ พ.ศ.2515 ประกาศเป็นอุทยานฯ เป็นลำดับที่ 6 ของประเทศไทย มีพื้นที่ 482.4 ตารางกิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ในเขตอำเภอจอมทอง อำเภอแม่แจ่มอำเภอแม่วาง และกิ่งอำเภอดอยหล่อ จังหวัดเชียงใหม่ ดอยอินทนนท์แต่เดิมดอยนี้มีชื่อว่า "ดอยหลวง" หรือ "ดอยอ่างกา" ดอยหลวง มาจากขนาดของดอยที่ใหญ่มาก ชาวบ้านจึงเรียกกันว่า "ดอยหลวง" (หลวง: เป็นภาษาเหนือ แปลว่า ใหญ่) ดอยอ่างกา มีเรื่องเล่าว่า ห่างจากยอดดอยไปทางทิศตะวันตกประมาณ 300 เมตร มีหนองน้ำแห่งหนึ่งลักษณะเหมือนอ่าง ฝูงกาจำนวนมากมายมักพากันไปเล่นน้ำที่หนองน้ำแห่งนี้ จึงพากันเรียกว่า "อ่างกา" และภูเขาขนาดใหญ่แห่งนั้นก็เลยเรียกกันว่า "ดอยอ่างกา" แต่ก็มีบางกระแสกล่าวว่า คำว่า "อ่างกา" นั้น
แท้จริงแล้วมาจากภาษาปกาเกอญอ (กะเหรี่ยง) แปลว่า "ใหญ่" เพราะฉะนั้นคำว่า "ดอยอ่างกา" จึงแปลว่าดอยที่มีความใหญ่นั่นเอง ดอยอินทนนท์ อดีตกาลก่อนป่าไม้ทางภาคเหนืออยู่ในความควบคุมของเจ้าผู้ครองนครต่าง ๆ สมัยพระเจ้าอินทวิชยานนท์ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ (องค์สุดท้าย) พระองค์ให้ความสำคัญกับป่าไม้อย่างมาก โดยเฉพาะป่าในบริเวณดอยหลวง ทรงรับสั่งว่า หากสิ้นพระชนม์ลงให้นำอัฐิบางส่วนขึ้นไปสร้างสถูปบรรจุไว้บนดอย ดอยนี้จึงมีนามเรียกขานว่า "ดอยอินทนนท์" แต่มีข้อมูลบางกระแสกล่าวว่า ที่ดอยหลวงเรียกว่า ดอยอินทนนท์ นั้น เป็นเพราะเนื่องจากว่าเป็นการให้เกียรติ เจ้าผู้ครองนคร จึงตั้งชื่อจากคำว่า "ดอยหลวง" ซึ่งเป็นชื่อที่มีความซ้ำกับดอยหลวง ของอำเภอเชียงดาว แต่ภายหลังมีชาวเยอรมัน มาทำการสำรวจและวัด ซึ่งปรากฎผลว่า ดอยหลวง หรือดอยอ่างกา ที่อำเภอแม่แจ่มมีความสูงกว่า ดอยหลวง ของอำเภอเชียงดาว จึงเปลี่ยนชื่อใหม่ เพื่อไม่ให้มีความซ้ำซ้อนกัน และเรียกดอยแห่งนี้ว่า "ดอยอินทนนท์" อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ เดิมเป็นส่วนหนึ่งของ "ป่าสงวนแห่งชาติดอยอินทนนท์" ต่อมาได้ถูกสำรวจและจัดตั้งเป็นหนึ่งในสิบสี่ ป่าที่ทางรัฐบาลให้ดำเนินการเป็นอุทยานแห่งชาติ ซึ่งครั้งแรกกรมป่าไม้เสนอให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์กำหนดพื้นที่อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ให้มีพื้นที่ 1,000 ตร.กม. หรือประมาณ 625,000 ไร่ แต่เนื่องจากพื้นที่ชุมชนต่าง ๆ อาศัยอยู่ก่อนหลายชุมชน จึงทำการสำรวจใหม่ และกันพื้นที่ที่ราษฎร อยู่มาก่อน และคาดว่าจะมีปัญหาในอนาคตออก จึงเหลือพื้นที่ที่จะประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ 270 ตร.กม. หรือประมาณ 168,750 ไร่ ประกาศลงวันที่ 2 ตุลาคม 2515 และในวันที่ 13 มิถุนายน 2521 รัฐบาลประกาศพื้นที่เพิ่มอีกเป็น 482.4 ตร.กม. อำเภอจอมทอง อำเภอแม่แจ่ม อำเภอแม่วาง และกิ่งอำเภอดอยหล่อ มีความสูงจากระดับน้ำทะลปานกลาง 400-2,565.3341 เมตร เป็นภูเขาที่สูงที่สุดในประเทศไทย สำหรับวัตถุประสงค์ในการกำหนดที่ดินให้เป็นอุทยานแห่งชาติ ตาม พ.ร.บ. อุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 หมวด 1 มาตรา 6 ดังนี้ "เมื่อรัฐบาลเห็นสมควรกำหนดบริเวณที่ดินแห่งใดมีสภาพธรรมชาติเป็นที่น่าสนใจ ให้คงอยู่ในสภาพธรรมชาติเดิมเพื่อสงวนไว้เป็นประโยชน์แก่การศึกษาและรื่นรมย์ของประชาชน ก็ให้มีอำนาจกระทำโดยประกาศพระราชกฤษฎีกาด้วยบริเวณที่กำหนดนี้เรียกว่า อุทยานแห่งชาติ"

ขนาดพื้นที่
301184.06 ไร่



ที่มา.... http://park.dnp.go.th/visitor/nationparkshow.php?PTA_CODE=1006

เขาใหญ่ (Khao Yai)

เขาใหญ่ (Khao Yai)

ที่ตั้งและแผนที่
อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ตู้ปณ. 9
ตำบลหมูสี อำเภอปากช่อง
จังหวัดนครราชสีมา 30130
 

หัวหน้าอุทยานแห่งชาติ : นายกฤษฎา หอมสุด
อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่นับเป็นอุทยานแห่งชาติแห่งแรกของประเทศไทย และได้รับสมญานาม
ว่าเป็น อุทยานมรดกของกลุ่มประเทศอาเซียน ตลอดจนเป็นที่ยอมรับทั่วไปว่า เป็นอุทยานแห่งชาติที่
สำคัญของโลก โดยได้รับความร่วมมือและช่วยเหลือจาก Dr. George C. Ruhle ผู้เชี่ยวชาญทางด้าน
อุทยานแห่งชาติของสหภาพสากลว่าด้วยการอนุรักษ์ธรรมชาติ และทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งได้
ดำเนินการประกาศจัดตั้งอุทยานแห่งชาติ โดยได้มีพระราชกฤษฎีกากำหนดที่ดินบริเวณป่าเขาใหญ่
ในท้องที่ตำบลป่าขะ ตำบลบ้านพร้าว อำเภอบ้านนา ตำบลหนองแสง ตำบลนาหินลาด อำเภอปากพลี
ตำบลสาริกา ตำบลหินตั้ง ตำบลพรหมมณี อำเภอเมือง จังหวัดนครนายก ตำบลประจันตคาม อำเภอ
ประจันตคาม ตำบลสัมพันตา ตำบลทุ่งโพธิ์ อำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี ตำบลหมูสี อำเภอ
ปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา และตำบลมวกเหล็ก ตำบลซำผักแพว อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี
ให้เป็นอุทยานแห่งชาติเมื่อ พ.ศ. 2502 ซึ่งลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 79 ตอนที่ 86 ลงวันที่
18 กันยายน 2505 รวมเนื้อที่ 1,355,468.75 ไร่ หรือ 2,168.75 ตารางกิโลเมตร



ต่อมากองทัพอากาศได้มีหนังสือที่ กศ   0379/15739   ลงวันที่ 15 พฤศจิกายน 2519 ถึง
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ขอกันพื้นที่ก่อสร้างสถานีเรดาร์ และสถานีถ่ายทอดโทรคมนาคม ออก
จากพื้นที่อุทยานแห่งชาติ ซึ่งคณะกรรมการอุทยานแห่งชาติ ได้มีมติในคราวประชุม ครั้งที่ 1/2520 ลง
วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2520 เห็นชอบให้กันพื้นที่ส่วนดังกล่าวได้ โดยได้มีพระราชกฤษฎีกา เพิกถอน
อุทยานแห่งชาติป่าเขาใหญ่บางส่วน ในท้องที่ตำบลหินตั้ง อำเภอเมือง จังหวัดนครนายก พ.ศ. 2521
ซึ่งลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 95 ตอนที่ 99 ลงวันที่ 21 กันยายน 2521 เป็นเนื้อที่
ประมาณ 71 ไร่ 3 งาน 16 ตารางวา หรือ 0.1149 ตารางกิโลเมตร และกรมชลประทาน กระทรวง
เกษตรและสหกรณ์ ขอใช้พื้นที่บางส่วนในเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ในท้องที่อำเภอปากพลี และ
อำเภอเมือง จังหวัดนครนายก เนื้อที่ 1,925 ไร่ 1 งาน 73 ตารางวา หรือ 3.0807 ตารางกิโลเมตร เพื่อ
ก่อสร้างโครงการเขื่อนคลองท่าด่านอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เพื่อประโยชน์ในการจัดแหล่งเก็บกัก
น้ำใช้เพื่อการอุปโภคและบริโภค ตลอดจนการเพาะปลูก รวมทั้งช่วยบรรเทาอุทกภัยที่เกิดขึ้นในเขต
จังหวัดนครนายกเป็นประจำทุกปี คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบให้ทำการก่อสร้างโครงการเขื่อนคลอง
ท่าด่านอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ซึ่งได้มีพระราชกฤษฎีกาเพิกถอนอุทยานแห่งชาติป่าเขาใหญ่
บางส่วนในท้องที่ตำบลหินลาด อำเภอปากพลี และตำบลหินตั้ง อำเภอเมืองนครนายก จังหวัด
นครนายก โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 116 ตอนที่ 119ก ลงวันที่ 26 พฤศจิกายน 2542 จึง
เป็นผลให้ปัจจุบันอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ มีเนื้อที่ประมาณ 1,353,471.53 ไร่ คิดเป็น 2,165.55 ตาราง
กิโลเมตร


ขนาดพื้นที่
1353471.50 ไร่




















ที่มา.....http://park.dnp.go.th/visitor/nationparkshow.php?PTA_CODE=1001

น้ำตกเจ็ดสาวน้อย (Namtok Chet Sao Noi)

น้ำตกเจ็ดสาวน้อย (Namtok Chet Sao Noi)
 
ที่ตั้งและแผนที่
อุทยานแห่งชาติน้ำตกเจ็ดสาวน้อย
หมู่ 9 บ้านแก่งหลุ ต.มวกเหล็ก อ.มวกเหล็ก จ.สระบุรี 18180
โทรศัพท์ / โทรสาร : 
  0 ...  

หัวหน้าอุทยานแห่งชาติ : นายณรงค์ศักดิ์ นามตาปี
เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2521 สำนักงานป่าไม้เขตนครราชสีมาได้สำรวจพื้นที่บริเวณน้ำตกเจ็ดสาวน้อยเพื่อจัดตั้งเป็นวนอุทยาน เนื้อที่ที่สำรวจไว้เดิมมี 500 ไร่ แต่ต่อมาเอกชนออกเอกสารสิทธิ์ที่ดินจำนวน 50 ไร่ จึงเหลือเนื้อที่อยู่เพียง 450 ไร่ และทำการสำรวจเพิ่มเติมป่าสงวนแห่งชาติดงพญาเย็นอีกประมาณ 487.5 ไร่ รวมเป็นเนื้อที่ที่จะผนวกประมาณ 937.5 ไร่ กรมป่าไม้ได้ทำการสำรวจลำห้วยมวกเหล็ก ซึ่งเป็นลำห้วยที่เกิดจากป่าเขาใหญ่ อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ไหลรวมกับแม่น้ำป่าสักที่ตำบลวังม่วง อำเภอมวกเหล็ก (ปัจจุบันคืออำเภอวังม่วง) จังหวัดสระบุรี เนื่องจากเป็นลำน้ำที่ไหลผ่านที่ราบสูงตอนบนของจังหวัดสระบุรีผ่านทิวเขาสลับซับซ้อนของหุบเขาซึ่งไม่สูงมากนักจึงเป็นเหตุที่ทำให้เกิดน้ำตกชั้นเตี้ยๆ เป็นจำนวนมากแต่เป็นน้ำตกที่มีความงดงามตามธรรมชาติที่แปลกออกไปจากน้ำตกแหล่งอื่นๆ มองดูคล้ายกับสายน้ำที่ไหลผ่านสันเขื่อนที่มนุษย์สรรค์สร้างขึ้นไหลเป็นแนวกว้าง ประกอบกับเป็นน้ำตกที่มีสายน้ำไหลตลอดปี กรมป่าไม้จึงได้ประกาศจัดตั้งเป็น “วนอุทยานน้ำตกเจ็ดสาวน้อย” เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2523 อยู่ในท้องที่อำเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี และอำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าทับกวาง-มวกเหล็ก แปลง 1 และป่าสงวนแห่งชาติป่าดงพญาเย็น มีเนื้อที่ประมาณ 540 ไร่
ต่อมา นายปลอดประสพ สุรัสวดี อธิบดีกรมป่าไม้ ได้มาตรวจเยี่ยมวนอุทยานน้ำตกเจ็ดสาวน้อยเมื่อเดือนมิถุนายน 2545 ได้เห็นการพัฒนาของวนอุทยาน ประกอบกับมีนักท่องเที่ยวเข้ามาท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก จึงได้มอบนโยบายว่า “ควรจะขยายพื้นที่ตามลำธารเพิ่มเติมเพื่อให้เพียงพอต่อการรองรับนักท่องเที่ยว และให้ทำการสำรวจพื้นที่เพิ่มเติม โดยให้ศึกษาข้อมูลด้านนิเวศวิทยา และข้อมูลพื้นฐานในการจัดการในด้านต่างๆ ทั้งนี้เพื่อหาความเป็นไปได้ในการกำหนดพื้นที่และวางแผนการจัดตั้งเป็นอุทยานแห่งชาติ” สำนักอุทยานแห่งชาติ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช พิจารณาแล้ว เห็นสมควรกำหนดพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าทับกวาง และป่ามวกเหล็ก แปลงที่ 1 อำเภอมวกเหล็ก และอำเภอวังม่วง จังหวัดสระบุรี รวมพื้นที่วนอุทยานน้ำตกเจ็ดสาวน้อย อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา และอำเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี เนื้อที่ประมาณ 17,540 ไร่ เป็นอุทยานแห่งชาติน้ำตกเจ็ดสาวน้อย



พืชพันธุ์และสัตว์ป่า
สภาพป่าโดยทั่วไปเป็นป่าปลูก เนื่องจากแต่เดิมเป็นพื้นที่ที่ถูกบุกรุกทำลายมาก่อน ต่อมาจึงได้รับการปลูกป่าเพื่อฟื้นฟู บางพื้นที่เป็นป่าที่กำลังฟื้นตัวตามธรรมชาติ พื้นที่โดยรอบทั้งหมดเป็นพื้นที่เกษตรกรรมและที่อยู่อาศัย มีถนนล้อมรอบ และไม่มีผืนป่าธรรมชาติแห่งอื่นต่อเนื่องหรืออยู่ใกล้เคียง ความหลากหลายของพันธุ์พืชและสัตว์ป่าจึงมีจำกัด
สังคมพืชในอุทยานแห่งชาติสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทหลัก ได้แก่ ป่าดิบริมห้วย ป่า

เบญจพรรณ และป่าปลูก
ป่าดงดิบ - พบได้เฉพาะบริเวณที่อยู่ติดลำห้วยมวกเหล็ก และขึ้นกระจายเป็นหย่อม ๆ ตามแนวลำน้ำ พันธุ์ไม้ที่พบได้แก่ โสกน้ำ ไคร้ย้อย มะแฟน ยางนา ตะเคียนทอง ยมหอม กระทิง สัตตบรรณ อบเชย มะเดื่อ สาธร เฉียงพร้านางแอ มะหาด เป็นต้น, พันธุ์พืชที่ขึ้นในน้ำและที่ชื้นได้แก่ ไคร้น้ำ สันตะวา ดีปลีน้ำ บัวสาย เฟินก้านดำ กูดเขากวาง กกรังกา ตีนตุ๊กแก เป็นต้น, ไม้เถาได้แก่ นมตำเลีย สะบ้า กระเช้าผีมด แสลงพัน เครือออน บันไดลิง และหวายชนิดต่าง ๆ, นอกจากนี้ยังพบพืชอิงอาศัย เช่น ข้าหลวงหลังลาย กระแตไต่ไม้ เอื้องกระเรกระร่อน เป็นต้น


ป่าเบญจพรรณ - พบอยู่ในบริเวณตอนกลางของพื้นที่ สภาพป่าส่วนใหญ่เป็นป่าที่กำลังฟื้นตัวตามธรรมชาติ เรือนยอดแบ่งได้ 2 ชั้น ไม้ชั้นบนที่สำคัญ คือ ประดู่ป่า สำโรง กะพี้ งิ้วป่า ตะคร้ำ หว้า แสมสาร มะเดื่อ ไม้ชั้นรองได้แก่ โมกหลวง ตีนนก แคหางค่าง ปีบ หนามคนทา หนามมะเค็ด ฯลฯ นอกจากนี้ยังพบไผ่ป่า ไผ่คาย ขึ้นทั่วไปในพื้นที่ ส่วนพืชพื้นล่างและพืชคลุมดินประกอบด้วยกล้าไม้ของไม้ชั้นรองและไม้พุ่มเป็นส่วนใหญ่ นอกจากนี้ยังพบหญ้าคาขึ้นเป็นกลุ่มในบางพื้นที่
ป่าปลูก - จัดเป็นสังคมพืชหลักของอุทยานฯ เนื่องจากพื้นที่ดั้งเดิมได้ถูกทำลายดังที่กล่าวมาแล้ว สังคมชนิดนี้มีกระถินยักษ์เป็นไม้เด่น แต่บางพื้นที่อุทยานฯได้มีการปลูกพันธุ์ไม้ดั้งเดิมเพื่อเสริมสภาพป่า พันธุ์ไม้บริเวณนั้นจะมีความหลากหลายคล้ายสังคมป่าเบญจพรรณ
อุทยานแห่งชาติน้ำตกเจ็ดสาวน้อยมีความหลากหลายของชนิดพันธุ์สัตว์ป่าในเกณฑ์ปานกลาง โดยสำรวจพบสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม 21 ชนิด(อยู่ระหว่างการสำรวจเพิ่มเติม) จัดเป็นสัตว์ป่าสงวน 1 ชนิดคือ เลียงผา จัดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง 11 ชนิดเช่น ลิ่นชวา, หมาจิ้งจอก, พญากระรอกบินหูแดง และเม่นใหญ่ เป็นต้น


ที่มา...http://park.dnp.go.th/visitor/nationparkshow.php?PTA_CODE=9131